เกาะโคโมโด x Nusa Penida คอมโบสุดฟินที่อินโด by ผู้หญิงคนเดียวก็เที่ยวได้ by TMB all free



เป็นทริปที่บินมาลงบาหลีแต่แทบไม่ได้เที่ยวบาหลี เพราะจะพาไปเที่ยวเกาะ Komodo แต่ยังมีเวลาและงบที่ตั้งไว้เหลือ เลยแวะเที่ยวเกาะ Nusa Penida และชิวๆที่บาหลีนิดหน่อย มาดูกันดีกว่าว่าครั้งนี้จะสนุกแค่ไหนค่ะ

ทำไมต้อง Komodo island? 

เพราะโคโมโดมีอีกชื่อนึงว่าเป็น Dragon แล้วน้องเป็นสัตว์ที่หายากค่ะ เมื่อเดือนก่อนปอเจอข่าวว่าอุทยานอาจจะขึ้นราคาตั๋วเข้า Komodo Island เป็น 500 usd (ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะเป็นจริงนะคะ เพราะเเพงเกินไป)  แล้วบริเวณ Komodo National Park ยังมีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติอยู่มาก ปอเปิดดูรูปสถานที่ใกล้เคียงก็แบบ เห้ย ทำไมมันสวยขนาดนี้ ยังงี้ก็ต้องไปละค่ะ

แพลนคร่าวๆ 

วันที่ 1  บินไปบาหลี (DMK-DPS)
วันที่ 2  บินไป Labuan Bajo พักผ่อน (DPS-LBJ)
วันที่ 3   Day trip (Rinca island-Padar View point-Komodo island-Pink beach-Makassar-Manta bay)
วันที่ 4  บินกลับบาหลี  (LBJ-DPS)
วันที่ 5   Day trip Nusa Penida (ขึ้นเรือไป Nusa Penida)
วันที่ 6  กลับไทย (DPS-DMK)

เป็นทริปที่เที่ยวง่าย สถานที่และวิวสวย ราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับวิวที่ได้เห็น แถมทริปนี้สะดวกสุดๆไปกับบัตรเดบิต TMB ALL FREE ที่ไม่ต้องพกเงินสดไปเยอะ แถมได้เรทในการรูดที่ถูกอีกด้วย

การเตรียมตัว


ทุกครั้งที่มาอินโด ปอจะรู้สึกว่าการแลกเงินนั้นยุ่งยากเพราะปอจะหาเงิน USD พกมาแลกเงินสดที่นี่ แต่ด้วยความที่เงินอินโดนั้นถูกกว่าเงินไทยมาก ทำให้เราต้องพกเงินเป็นแสนเป็นล้าน (รูเปียะนะคะไม่ใช่บาท 55) ซึ่งปอก็แอบกังวลเรื่องเงินค่ะ เพราะเวลาไปเที่ยวเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบพกเงินสดเยอะๆ กลัวหายบ้าง กลัวโดนปล้น โดนขโมยบ้าง แล้วปอก็ไปเจอวิธีแก้ปัญหานี้ค่ะ คือ สมัครบัญชี TMB ALL FREE และใช้บัตรเดบิตที่ผูกกับบัญชีนี้ ดีงามตรงที่ให้เรทที่ถูกกว่า และไม่มีชาร์จ FX Rate 2.5% และที่สำคัญก็คือไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องแลกเงินเยอะๆค่ะ พกไปแค่นิดหน่อยก็พอ

เทคนิคง่ายๆ ของปอคือเอาเงินเข้าบัญชี ตามงบที่เราตั้งไว้สำหรับทริปนี้ เพื่อที่จะได้ควบคุมการใช้จ่ายไม่ให้บานปลาย และจะบอกว่าบัตรนี้มีความดีงามหลายอย่างมาก เพราะเค้ายืนหนึ่ง ในเรื่องเที่ยวต่างประเทศอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น

• ใช้จ่ายได้ทุกสกุลเงินทั่วโลก อันนี้คือชอบมาก ไม่ว่าจะไปลุยประเทศไหนก็ไม่ต้องกังวลแล้วค่ะ
• ปลอดภัย ลดการใช้เงินสด
• สะดวกไม่ต้องแลกเงินไปเยอะ
• ฟรีประกันการเดินทางต่างประเทศ ใช้ได้ทั่วโลก เจ็บป่วย หรือ อุบัติเหตุ เคลมได้สูงสุดถึง 1 ล้านบาท
• หากจำเป็นต้องใช้เงินสด สามารถกดเงินสดที่ต่างประเทศด้วยค่าธรรมเนียมถูก (75 บาทต่อครั้ง)
• สามารถดูประวัติการใช้จ่ายย้อนหลังได้ ตลอดเวลา ผ่าน TMB TOUCH
• สามารถออกบัตรเดบิตได้ 2 ใบ เหมาะสาหรับสามีภรรยาที่ไปเที่ยวด้วยกัน สามารถเช็คค่าใช้จ่ายต่างๆได้ในบัญชีเดียว

โดยส่วนตัว ปอรู้สึกสะดวกและปลอดภัยมากค่ะ เพราะที่บาหลีและลาบวนบาโจใช้บัตรได้เกือบทุกที่ที่ไปเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหาร ที่พัก ร้านค้าที่รับจ่ายด้วยบัตรเดบิตกันเกือบหมด ถ้าเพื่อนๆ อยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ก็ไปดูได้ที่นี่เลยคะ tmbbank.com/fb/travel3

เป็นลูกรักใบใหม่แล้วค่ะ ใช้ที่ไทยก็ไม่เสียค่าธรรมเนียม 

วิธีเดินทางมาเกาะ Komodo


สนามบินที่ใกล้ที่สุด คือ สนามบิน Labuan Bajo (LBJ) แต่จากประเทศไทยไม่มีเที่ยวบินตรงมาสนามบินนี้ ทำให้เราต้องบินมาลงไม่ จาการ์ต้า ก็บาหลีก่อน เมื่อเทียบกันแล้วปอเลือกที่จะบินไปลงบาหลีก่อน เพราะมีที่เที่ยวที่ปอสนใจมากกว่า การเดินทางของปอเลยเป็น DMK-DPS-LBJ (กรุงเทพ-บาหลี-ลาบวนบาโจ)

สายการบินไป Labuan Bajo จากบาหลี มี 3 เจ้าใหญ่ๆ Nam air, Wing air และ Air asia ค่ะ

แล้วหลังจากนั้นต้องซื้อทัวร์ local ค่ะ การไปเที่ยวเองน่าจะลำบากมาก เพราะคนอินโดเองเวลาไปเที่ยวก็ต้องใช้ทัวร์เหมือนกัน โดยทัวร์จะเเบ่งออกเป็น 2 แบบใหญ่ๆค่ะ คือ

1) ทัวร์แชร์กับคนอื่น (เท่าที่หาเจอราคาประมาณ 30 USD ++)
2) ทัวร์ private (เท่าที่หาเจอเรือแบบ speedboat ราคาตั้งแต่ 570 USD ขึ้นไปแล้วแต่ว่าหาได้ราคาถูก โปรแกรมโดนใจแค่ไหน)

เรือ Speedboat แบบ private
แน่นอนว่าข้อ 2 แพงกว่าข้อ 1 หลายเท่าตัว แต่ถ้าไปกันหลายคนเเนะนำให้เลือกทัวร์ไพรเวทเลยค่ะ เพราะเราสามารถเลือกโปรแกรมเองได้ ปรับเปลี่ยนได้ตามที่เราต้องการ หารกันกับเพื่อนนี่คิดว่าคุ้มมากนะคะ ราคาจะขึ้นอยู่กับโปรแกรมทัวร์ ประเภทเรือ(เรือช้า หรือ เรือ speedboat) ดูดีๆด้วยนะคะว่าราคารวมตั๋วค่าเข้าอุทยานรึยัง เพราะราคาสูงพอสมควรเลยค่ะ (แล้วราคาแต่ละวันไม่เท่ากัน คืองงมาก วันที่ปอไปจ่ายไปประมาณ 450,000 IDR)

ตั๋วเข้าอุทยาน 
เมื่อเครื่องมาลงสนามบินลาบวนบาโจก็เป็นเวลาพระอาทิตย์ตกดินแล้วค่ะ สนามบินไม่เก่าค่ะ แถมชื่อมีเก๋ๆด้วย

สนามบินลาบวน บาโจ

ได้มีโอกาสดูวิวพระอาทิตย์ตกดินที่ Labuan Bajo ระหว่างทางก่อนไปถึงที่พัก
ตอนเชคอินก็ชำระค่าที่พักได้ง่ายๆ ด้วยบัตรเดบิต TMB ALL FREE ไม่ต้องพกเงินสดเยอะๆให้กังวลใจค่ะ



ที่อินโดนีเซีย มีหลายเกาะที่เราสามารถเจอเจ้าโคโมโดได้ค่ะ ที่นิยมสุดจะเป็น เกาะ Rinca กับ เกาะ Komodo (ทัวร์ส่วนใหญ่จะให้เลือกไปที่ใดที่นึง แต่ปอเลือกไปทั้งสองที่เลยค่ะ กลัวไม่เจอน้อง komodo 555) สำหรับช่วงที่ปอไปนั้นเป็นช่วงฤดูกาลผสมพันธุ์ ซึ่งจะมีโอกาสเจอโคโมโดตามธรรมชาติได้ค่อนข้างน้อยกว่าปกติ เพราะโคโมโดเป็นสัตว์ที่จะไปผสมพันธุ์ในป่าไกลๆ วันที่ปอไปนั้น ปอเจอโคโมโดที่เกาะ Rinca ทั้งหมด 11 ตัว และที่เกาะ Komodo ทั้งหมด 4 ตัว ยังไงลองตัดสินใจดูถ้ามีเวลาน้อยเลือกไปได้แค่เกาะเดียวนะคะ
มาดูน้องโคโมโดที่เจอที่เกาะ Rinca กันก่อนค่ะ ที่เกาะนี้น้องจะตัวเล็กกว่า และเจอได้เยอะกว่า เพราะเกาะมีขนาดเล็กเลยหาง่ายกว่าค่ะ


มารู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของเจ้าโคโมโดกันสักหน่อยดีกว่าค่ะ

โคโมโดเป็นสัตว์ที่รักความสันโดษ จะไม่อยู่กันเป็นกลุ่ม โดยช่วง สค กย จะเป็นช่วงฤดูกาลผสมพันธุ์ โคโมโดจะหนีไปผสมพันธุ์ไกลๆในป่า โคโมโดออกลูกเป็นไข่ ใช้ระยะเวลาฟักไข่ 9 เดือน (เหมือนคนเลยเนอะ) โดยจะวางไข่ประมาณ 30 ฟองต่อครั้ง แต่มีอัตราการรอดแค่ประมาณ 20-25% เท่านั้น อาจจะเพราะโดนเหยี่ยวกิน โดยแม่โคโมโดกิน หรือโดนสัตว์ตัวอื่นมากิน โคโมโดจะขุดหลุมลึกประมาณ 2 เมตรเพื่อวางไข่ โดยมีการทำหลุมหลอกด้วยนะ หลังจากวางไข่ แม่โคโมโดก็จะคอยเฝ้าอยู่รอบๆหลุม พอฟักไข่แล้วโคโมโดจะอาศัยอยู่ตามต้นไม้ จนถึงอายุ 2 ปี หลังจากนั้นก็จะอาศัยตามพื้นดิน บนเกาะ Rinca มีโคโมโดอยู่พันกว่าตัว และที่เกาะ Komodo ก็มีอยู่ประมาณพันกว่าตัวเช่นกัน อีกอย่างที่อยากบอกคือ โคโมโดไม่ได้น่ารัก เป็นมิตรอย่างที่คุณคิด โคโมโดเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างดุร้ายค่ะ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องใช้บริการไกด์ หรือ Ranger ที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่อุทยานพาเราเดินค่ะ

ไกด์ที่พาเดินค่ะ 

ไม่ควรเดินออกนอกเส้นทางเพราะอาจจะโดนโคโมโดทำร้ายได้ ปีที่แล้วมีคนสิงคโปร์เดินออกนอกเส้นทาง ไปดูโคโมโดในป่าเองแล้วเค้าโดนโคโมโดกัดค่ะ วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น คือต้องใช้ยาฆ่าเชื้อก่อนค่ะ เพราะน้ำลายโคโมโดอาจจะมีเชื้อโรคปนอยู่แล้วเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ค่ะ

น้องโคโมโดชอบมาอยู่บริเวณ Ranger เพราะได้กลิ่นอาหาร
ได้เจอน้องตามธรรมชาติอีกหลายตัวเลยค่ะ โชคดีมาก

พอออกจากเกาะ Rinca ก็เดินทางมาที่ Padar view point ที่นี่เป็นจุดชมวิวที่สวยมากๆที่นึงที่ปอเคยเห็นมาเลยค่ะ เมื่อเราขึ้นไปบนยอดเขา เราจะเจอวิวของชายหาดสามสี Black sand beach, Pink sand beach, White sand beach ทางขึ้นเป้นบันไดที่ทำไว้ค่อนข้างดีค่ะ เดินขึ้นไม่ยาก แต่ค่อนข้างชัน ถ้าคนที่ไม่ค่อยออกกำลังน่าจะเหนื่อยหน่อย ที่นี่แค่เรือมาเทียบท่าแล้วเดินขึ้นไปได้เลยค่ะ ไม่ซับซ้อนอะไร

บริเวณท่าเทียบเรือก็สวยแล้ว
ทางเดินขึ้นไปจุดชมวิวค่ะ
วิวสวยมากกกกกกกกกก ของจริงสวยมากกว่ารูปอีกค่ะ
วิวที่เราเห็นคือ 3 ชายหาดค่ะ Pink sand beach, Black sand beach, white sand beach เป็นคอมบิเนชั่นที่หายากจริงๆค่ะวิวนี้

หลังจากนั้นก็เดินทางที่เกาะ Komodo ค่ะ ที่นี่เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ มีชาวบ้านอาศัยอยู่  (วันที่ไปเค้ากำลังเฉลิมฉลองเทศกาล Eid เห็นคนออกมานั่งคึกคักเเถวชายหาด)


น้องๆคึกคักมาก รับเทศกาล Eid

ด้วยความที่ใหญ่กว่าเกาะ Rinca ทำให้โอกาสที่เราจะเจอน้อง Komodo น้อยกว่า เพราะต้องเดิน trek หาในระยะทางที่ไกล แต่เดินไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็เจอน้องตัวนึงเดินตัดหน้าค่ะ

ให้ฟีลเหมือนตอนไปซาฟารีที่แอฟริกา ไปตามส่องสัตว์เบาๆ 

น้องโคโมโดกับวิวทะเล

ระหว่างทางไปที่เที่ยวถัดไปก็ทานอาหารเที่ยงบนเรือค่ะ เป็นข้าวกล่องอาหารอินโดค่ะมื้อนี้



สถานที่ต่อไปก็คือ Pink Beach ซึ่งสีชมพูก็คือเศษปะการังที่แตกๆแล้วลอยมาติิดที่ชายฝั่งค่ะ ไกด์บอกว่าสมัยก่อนชมพูกว่านี้มากๆ แต่หลังจากที่นี่เริ่มเป็นที่นิยม มีนักท่องเที่ยวหลายคนที่เก้็บทรายกลับไป ทำให้สีชมพูน้อยลงมากๆ น้ำที่นี่ใสและสวยมากๆๆ แถมปะการังน้ำตื้นก็สวยมากค่ะที่นี่ แนะนำให้มาจริงๆ

Pink Beach 
ปะการังที่ทำให้ชายหาดมีสีแดง
มาดูปะการังน้ำตื้นกัน 
ปลาสวยๆก้เยอะมากค่ะ ถ่ายมาไม่ครบ ต้องมาดูเอง 
หลังจากนั้นเดินทางมาที่ ชายหาดสีขาวที่มีน้ำใสมากอีกที่นึง ที่มีชื่อว่า taka makassar island ที่นี่มีปะการังน้ำตื้นให้ดูเหมือนกัน(แต่ส่วนตัวคิดว่าที่ Pink beach สวยกว่า) แต่ที่นี่ตอนกลางวันแดดแรงเเผดเผามาก คือบนเกาะไม่มีต้นไม้ ไม่มีอะไรเลย

น้ำใสมากกก snorkle ฟินๆ
ชายหาดขาวสวยมากกก
ที่สุดท้ายของทริปวันนี้ก็คือ  Manta bay ซึ่งจะเป็นบริเวณกลางทะเล ไกด์จะคอยส่องปลากระเบนให้เราก่อน ถ้าเจอแล้วเราค่อยโดดน้ำตามเค้าไป ซึ่งวันที่ปอไปโชคดีมาก ได้เจอตัวใหญ่ตัวนึงว่ายน้ำใกล้กับเรือที่จอดเลย ได้ว่ายน้ำตามอยู่แบบนึง ด้วยความที่คลื่นแรงมากทำให้ปอหมดแรง แล้วก็ถ่ายรูปไม่ทัน 555 แต่ทริปวันนี้อยากบอกว่าคุ้มเกินคุ้มจริงๆค่ะ

สำหรับคืนนี้หลังจากจบทริปปออยู่ Labuan Bajo ต่ออีกคืนนึงก่อนจะบินกลับไปบาหลีค่ะ

วิวจากลอบบี้ของที่พักค่ะ ฟินๆ
สำหรับบาหลีครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งที่ผ่านๆมา เพราะไม่ได้เที่ยวที่เกาะบาหลีเลย แต่ตั้งใจจะไปอีกเกาะนึงที่คนไทยน่าจะรู้จักกันดีก็คือเกาะ Nusa Penida

เนื่องจากอ่านรีวิวเกี่ยวกับกับเกาะนี้มาพอสมควร มีชื่อเสียงเรื่องของถนนที่ไม่ smooth as silk นั่งทีเครื่องใน ลำไส้สะเทือน แต่ปลายทางคือคุ้มมากจริงๆค่ะ วิวที่นี่เค้าสวยจริง

โปรแกรมที่ปอเลือกคือ Combi (รวมที่เที่ยวทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกในวันเดียว) เพราะคิดว่าไหนๆก็นั่งรถทรมานละ ทรมานทีเดียวจบไปเลยดีกว่า 55 ค่าทัวร์ 1ล้านรูเป๊ยะค่ะ (1ล้าน IDR = ประมาณ 2200 บาทค่ะ) ซึ่งปอรู้สึกว่าสมเหตุสมผลมาก เพราะเป็นทัวร์ส่วนตัวค่ะ

พอกลับมาถึงบาหลีก็หิวค่ะ ไปเจอร้านอาหารชื่อดังใกล้ที่พักที่ชื่อ Ku de ta ไปลองชิมอาหารมาก็รสชาติดีค่ะ ราคาสูงสำหรับแถวนี้ แต่บรรยากาศดีค่ะ



สลัดเวียดนามค่ะ

Day trip นี้เริ่มทริปจากบาหลีค่ะ เค้าจะมารับที่ที่พักของเราตอนเช้าไปที่ท่าเรือที่ Sanur โดยรอบเรือทางทัวร์เค้าจะเชคให้เรา ก็คุยกับเค้าว่าอยากได้รอบไหนค่ะ  วันที่ปอไปคือฝนตกหนักมากตั้งแต่ออกจากที่พัก ตอนนั้นแอบใจแป้วแล้วค่ะ day trip วันนี้จะล่มมั้ย (เป็นวันเดียวที่เหลือเวลาสำหรับไปเกาะ Nusa Penida ด้วย) พอไปถึงท่าเรือฝนก็ตกปรอยๆ สิ่งที่พีคมาก็คือการขึ้นเรือไปเกาะนี่ล่ะค่ะ ไม่มีท่าเทียบเรือจ้า เทียบกับชายหาด ยอมรับว่าค่อนข้างชอค เพราะแต่งตัวมาแบบใส่รองเท้าผ้าใบ กางเกงขายาว คือต้องถลกกางเกงขึ้นมาเลยเข่าเพราะน้ำก็ค่อนข้างสูง แถมน้ำไม่ค่อยสะอาดด้วย ตอนนั้นฟีลแบบ เอ่อ ทำไมมันพังขนาดนี้ตั้งแต่เริ่มทริป 555

การเดินทางไปขึ้นเรือ ช่างน่าตกใจกับชุดที่ใส่มาวันนี้มากค่ะ 
บรรยากาศภายในเรือ 
แต่ระหว่างที่นั่งเรือไปเกาะ Nusa Penida นั้นฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง คิดในใจว่าจะเอายังไงดี จะพังมั้ยตลอดเวลา

พอไปถึงท่าเรือจะมีคนขับรถถือป้ายชื่อมารอรับ พร้อมที่จะเริ่มทริปวันนี้แล้วค่ะ โดยสถานที่แรกของวันก็คือ Tree house กับ Diamond beach ที่นี่ต้องเดินลงบันไดที่ค่อนข้างสูงชันลงไปข้างล่างค่ะ แต่วิวเทพมากเห็นละหายเหนื่อยเลยจริงๆ ทางมาสองที่นี้ปอว่าถนนแย่มาก ลำไส้เคลื่อนไปหมด ใช้เวลาขับรถจากท่าเรือประมาณเกือบสองชั่วโมงค่ะ

เริ่มเดินไปที่ Diamond beach ก่อนค่ะ คุ้มค่าที่เดินมาค่ะ หายเหนื่อยเลย

Diamond beach

หันมาอีกฝั่งจะมีอีกชายหาดนึงที่สวยไม่แพ้กันค่ะ เหมาะแก่การไปนั่งชิวพักผ่อน


โชคดีมากจริงๆที่พอมาถึงแล้วฝนหยุด  แต่ฟ้าก็ยังครึ้มๆ ที่นี่อยู่ห่างจาก Tree house นิดเดียวค่ะ เดินไปถึงกันได้ แต่ก็ต้องใช้วิชาขึ้นลงบันไดเยอะหน่อย ปอเจอคนพาผู้สูงอายุมา หอบแฮ่กๆเลยค่ะ

บ้านต้นไม้ที่โด่งดัง

จบฝั่งนึงแล้วใช้เวลาเดินทางอีกหนึ่งชั่วโมงกับถนนที่ยังไม่ได้ดีขึ้นเท่าไร เพื่อไปสถานที่ที่ฮิตมากๆตอนนี้ พอไปถึงคนเยอะมากกกกกก ฝรั่งและคนจีนเยอะมากค่ะ ตอนจะถ่ายรูปนี่คือต้องต่อคิวยาวพอสมควร (ซึ่งปอคิดว่าค่อนข้างใช้เวลานานกว่าจะได้ถ่ายรูปเราเอง ถ้าใครไม่ใช่คนชอบเที่ยวที่แมสๆ คนเยอะๆ ก็อาจจะไม่ชอบที่นี่ค่ะ)
T-rex cliff  (Kelingking beach) วิวยอดนิยมสุดๆ ณ ตอนนี้ 
สำหรับฝั่งนี้มีที่เที่ยวทั้งหมด 3 ที่ค่ะ คือ Kelingking beach, Angel's Billabong, Broken beach ซึ่งก็ยอมรับนะคะ ว่าทุกที่สวยประทับใจมาก ติดที่แดดร้อนและคนเยอะไปหน่อย


Broken beach 

สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติของที่นี่สวยมากค่ะ เกือบทุกที่สวยแบบที่เห็นในรูปตามอินเตอร์เนตจริงๆ กลับมาผิวไหม้มากๆ อย่าลืมทาครีมกันแดดดีๆนะคะ 555 ถ้าปอมาครั้งหน้าก็ว่าจะลองไปเล่นน้ำที่ Kelingking Beach ค่ะ

การมาอินโดครั้งนี้ได้มาดื่มด่ำธรรมชาติอย่างเต็มที่ มีหลายที่ที่เรารู้สึกว่าประทับใจมากๆ บรรยากาศ อาหาร สถานที่ ผู้คน ราคาที่ยังสมเหตุสมผล อยากให้ลองมาเที่ยวกันดูนะคะ :)

#TMBAllFree #เพราะคุณต้องได้มากกว่า#GetMOREwithTMB #TMBMakeTHEDifference

ผู้หญิงคนเดียวก็เที่ยวได้ x สีหนุวิลล์ กับ Airasia



สวัสดีค่า หลังจากปีนี้ปอเดินทางไปเที่ยวไกลๆมาหลายที่ ทริปนี้เลยอยากลองเปิดประสบการณ์เที่ยวทะเลประเทศเพื่อนบ้านราคาน่าคบดูบ้าง จุดหมายปลายทางไม่ไกลเลยค่ะ "สีหนุวิลล์" และจะไปสัมผัส ทะเลสวยๆที่ประเทศกัมพูชาดูบ้าง สำหรับใครที่ยังงงๆว่าสีหนุวิลล์อยู่ตรงไหน ดูภาพด้านล่างได้เลยค่ะ (เลยจังหวัดตราดไปทางทิศตะวันออกค่ะ)


ทริปนี้ไปกับแอร์เอเชีย

เรื่องควรรู้ก่อนไปสีหนุวิลล์

1) ตั๋วเครื่องบิน
ทริปนี้ปอเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชีย ซึ่งอยากจะบอกว่าการเดินทางตอนนี้สะดวกมาก เพราะมีบินตรงจากดอนเมืองไปสีหนุวิลล์แล้วค่ะ มีบินจันทร์ พุธ ศุกร์ อาทิตย์ (สำหรับตั๋วเครื่องบินสามารถเสิร์ชจากเวบแอร์เอเชียไฟลท์ DMK-KOS ได้เลยค่ะ) ใครสนใจจะไปลางานแค่วันเดียวก็เที่ยวฟินๆได้แล้วค่ะ ยิ่งช่วงนี้มีโปร 0 บาท ราคาเร้าใจจริงๆ


2) เงิน 
ที่กัมพูชาเค้ารับทั้งเงินท้องถิ่นคือเงินเรียล และเงิน USD ดอลล่าร์ค่ะ ( 1 ดอลลาร์ ประมาณ 4000 เรียล)มีบางที่ก้รับเงินไทยแต่คำนวณเรตดีๆนะคะ ปอแลกเงินดอลลาร์จากไทยไป โดยขอแบงค์ย่อยไปประมาณนึง อาหารมื้อนึงราวๆ 5$ ขึ้นไปแล้วแต่ย่านที่ไปทานค่ะ (อันนี้ราคาย่านนักท่องเที่ยวละ คิดว่าอาหารพื้นถิ่นราคาจะถูกกว่านี้มากๆ)

3) ภาษา
เท่าที่สังเกตคือคนที่นี่จำนวนนึงพูดภาษาไทยได้ดีพอสมควรเลยค่ะ แทกซี่ที่ปอใช้บริการเกือบทุกคนฟังไทยออก แต่ปอก็ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกับเค้าเป็นหลักนะคะ

4) ที่พัก
อยากบอกว่าขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการบรรยากาศแบบไหน ปอไปลองให้ทั้งสองแบบละค่ะ คือพักที่สีหนุวิลล์หนึ่งคืน และพักที่เกาะอีกหนึ่งคืน ส่วนตัวประทับใจกับการพักบนเกาะมากกว่าค่ะ ใครจะไปก็ข้ามการพักที่สีหนุวิลล์ไปได้นะ (เว้นแต่ว่าจะพักโรงแรมดีๆที่นี่) ถ้าอยากได้บรรยากาศดีๆชิวๆ ไปเกาะโลดดดด มีให้เลือกเยอะมากค่ะ ที่ฮิตๆก็จะเป็นที่เกาะรง และเกาะรงสำลน (ปอชอบที่นี่มากกก)  ราคาเป็นมิตรมากๆค่ะ โรงแรมติดทะเลราคาจะอยู่ที่พันบาทขึ้นไป

5) อาหาร 
ถ้าใครเคยมาเที่ยวกัมพูชาน่าจะนึกภาพออกว่าอาหารจะค่อนข้างคล้ายกับอาหารไทยค่ะ แต่รสชาติไม่แซ่บ ไม่นัวเท่า สำหรับปอถือว่าทานได้ไม่มีปัญหาค่ะ อาหาร local ที่ได้ลองชิมมาก็จะเป็น Lok lak, fish amok, แกงกะหรี่เขมร เป็นต้น

6) ผู้คน
โดยรวมเป็นมิตรดีค่ะ ให้ความช่วยเหลือ ปอไม่ได้เจอเรื่องไม่ดีอะไร เลยไม่มีประเด็นอะไรค่ะ อยากบอกว่าตามโรงแรมคือพนักงาน service mind ดีมากๆ ประทับใจค่ะ

7) การเดินทางภายในเกาะ 
ปอใช้บริการแทกซี่เเละการเดินค่ะ ราคาต่อรองกับคนขับได้เลย (มีรถตุ๊กๆด้วยแต่ปอไม่ได้ใช้) ตัวอย่างราค่าแทกซี่จากสนามบินเข้าเมืองราคา 20$ ค่ะ

ไปค่ะ ไปท่าเรือกัน
แผงทัวร์มากมายให้ช้อปปิ้งกันได้ตามสบาย 

แผนการเดินทางคร่าวๆของปอมีดังนี้ค่ะ

วันที่ 1 เดินทางจากดอนเมืองไปสีหนุวิลล์ เข้าที่พักเเถว Otres beach เดินเล่นแถวนั้น
วันที่ 2 One day trip 3 เกาะ (เกาะรง เกาะรงสันลม และเกาะทัส) พักที่เกาะรงสำลน
วันที่ 3 เดินเล่นรอบๆ เกาะรงสันลม และเดินทางกลับ กทม

ทริปนี้เน้นความชิวค่ะ อยากเปลี่ยนบรรยากาศการไปทะเลบ้าง เพราะเที่ยวทะเลในไทยราคาก็เอาเรื่อง ทริปนี้กินดีอยู่ดี(มีคืนนึงนอน pool villa ด้วย) หมดไปราวๆ 4000 บาทกับ 3 วัน ปอถือว่าราคานี้น่ารักน่าคบกับการไปทะเลต่างประเทศมากๆค่ะ มาดูรายละเอียดกันดีกว่า ว่าไปทำอะไรมาบ้าง

วันแรกเริ่มต้นการผจญภัยทริปนี้กันที่ดอนเมืองค่ะ คนไม่ค่อยเยอะเท่าไร เชคอินออนไลน์มาเเล้วเลยชิวๆ พร้อมบิน ไฟลท์นี้ใช้เวลาเพียง ชม ครึ่งก็ถึงที่หมายละค่ะ


อาหารเกาหลีก็มา แม้เราจะไปกัมพูชา 555
สนามบินดูใหม่ดีค่ะ ไม่น่ากลัว

ปอจองที่พักแถว Otres beach ไว้เป็นห้อง pool villa ที่ราคาเย้ายวนใจมาก คืนละ 3300 บาทเท่านั้น (ในไทยปอยังไม่เคยเจอราคานี้มาก่อน) ลองติดต่อที่พักเรื่องรถมารับที่สนามบินแต่เค้าชาร์ตราคาเป็น 25$ ซึ่งการเรียกแทกซี่จากสนามบินไปตรงไหนก็เสีย 20$ ปอเลยมาหาแทกซี่ที่สนามบินเอาค่ะ จะมีคนให้ตั๋วที่ระบุราคาไว้ แล้วคนขับก็จะพาเราไปถึงที่พัก ไม่มีตุกติกใดๆ ใช้เวลาเดินทางราวๆ 45 นาที

พอมาถึงที่พักก้ฟินเบาๆค่ะ เพราะไม่เคยได้ราคา pool villa ราคาดีขนาดนี้ พักผ่อนจากการเดินทางแบบชิวๆค่ะ มาดูบรรยากาศที่โรงแรมกันค่ะ 






ก่อนจบวันแรก จะพามาลองชิมอาหารเขมรค่ะ อย่างที่บอกไปรสชาติไม่นัว แต่ก็ทานได้ค่ะ 
เหมือนหมูกระเทียมไข่ดาว 555
วันนี้ปอก็ได้ติดต่อทางที่พักเรื่องทริปของวันพรุ่งนี้ ปอสนใจจะไปทริป 3 เกาะ (ซึ่งเดี๋ยวมาบอกค่ะ ว่าที่ไหนน่าสนใจสุด) ราคาต่อวันต่อคน 27$ รวมค่าอาหารกลางวันและของทานเล่นบนเรือค่ะ ถ้าจะดำน้ำจะมีค่ามัดจำแว่นตา 20$ ค่ะ (หรือจะเตรียมมาเองก้ได้) 
มุมเก๋ๆที่โรงแรม

วันที่ 2 
วันนี้มีรถมารับที่โรงแรมตั้งแต่ 8 โมง เพื่อไปที่เค้าเตอร์ของบริษัทเรือ รับตั๋ว

เค้าเตอร์บริษัท
รับตั๋ว
หาอาหารไว้ทานเล่นบนเรือ
และไปส่งที่ท่าเรือค่ะ เรือออกตามกำหนดการค่อนข้างเป๊ะ คือ 9:30 น เป็เรือสามชั้นค่ะ มีของขาย ทั้งเครื่องดื่มและของใช้ที่อาจจะจำเป็นต่อการมาทะเล นักท่องเที่ยวที่เจอ 80% เป็นต่างชาติค่ะ เจอคนกัมพูชาแค่กลุ่มเดียว


เรือ 3 ชั้น

กิจกรรมวันนี้จะเริ่มที่เกาะรง ซึ่งการเดินทางด้วยเรือลำนี้ก็แสนจะยาวนานค่ะ ใช้เวลาร่วมชั่วโมงครึ่ง บางคนเมาเรือก็มีค่ะ (อีกทางเลือกนึงคือ นั่งสปีดโบ้ท เรือไม่โคลง แถมใช้เวลาแค่ 45 นาที แต่ก็จะไปได้ทีละเกาะ ไม่ครบทั้งสามนะคะ) พอมาถึงเกาะก็เกือบเที่ยงแล้วค่ะ ได้เวลาอาหารกลางวัน 



เราจะมาทานอาหารริมทะเลกัน




แล้วเค้าก็ให้เวลาเดินเล่นรอบๆประมาณครึ่งชั่วโมง (อันนี้น่าจะเป็นข้อเสียของทัวร์นี้ คือให้เวลากับสถานที่เที่ยวค่อนข้างน้อย ถ้ามาอีกทีคือปอจะแพลนนั่งสปีดโบ้ทไปแต่ละเกาะเองค่ะ รอบนี้ทางโรงแรมบิ้วมาว่ามาแบบนี้คุ้มสุด 555) ถือซะว่าปอมาสำรวจให้เพื่อนๆละกัน คนมาทีหลังจะได้ไม่พลาดแบบปอ (พยายามหารีวิวแต่ไม่มีให้อ่านเลยค่ะ) 


มีคนมาขายอาหารทะเลสดๆด้วย 
ในเรือประมงก็ดูกินกันอร่อยเลยค่ะ
เดินเล่นรอบเกาะ 
น้ำใสสสสส
หลังจากนั้นก็พาไปที่เกาะทัส ซึ่งวันนั้นคลื่นแรงพอสมควร ทางเจ้าของทัวร์แจ้งว่าจะไม่ได้เทียบฝั่งแต่ให้ลงดำน้ำเลย ก็งงๆเล็กน้อย แต่พอลงไปปะการังตรงนั้นไม่ค่อยสวยค่ะ แต่น้ำใสมากๆ 


สภาพภายในเรือ บริเวณโถงกลาง
ร้อนๆ ขอโค้กกระป๋องนึงค่ะ 55

มาถึงเกาะสุดท้าย ซึ่งปอขอกับคนเรือว่าจะลงเกาะนี้เลย เพราะจองที่พักไว้คืนนึง อยากบอกกับตัวเองว่า "ทำไมไม่มาที่นี่ตั้งแต่แรก 555" คือหาดทรายขาวยาวๆทอดตามฝั่งไป บรรยากาศชิวๆ มีโฮสเทลและโรงแรมริมทะเลมากมาย สามารถนั่งบาร์ริมทะเลชิวๆได้ ทำไมดีย์ขนาดนี้ 



ก่อนนี้ชั้นยังไม่มองใคร (พร้อมทำนองเพลง เหรอ )
ร้านชิวมากมาย

ส่วนโรงแรมที่จองไว้เพราะเห้นว่าห้องเหมือนบ้านฮอบบิทค่ะ ปอเลยเรียกว่าโรงแรมฮอบบิท 



บ้านฮอบบิทททท
บรรยากาศในห้อง



ก่อนมาควรติดต่อกับทางโรงแรมให้เรียบร้อยก่อนนะคะว่าจะมาถึงกี่โมง เพราะเค้าต้องเอาเรือมารับเราจากท่าเรือหลักค่ะ ไม่สามารถเดินไปเองได้ 


เรือที่เอามารับ ส่วนตัวมากกก

บรรยากาศเป็นกันเองและชิวมากที่นี่ แต่ติดอย่างเดียวคือตัวเลือกเรื่องอาหารก็จะกินอยู่ได้แต่ที่โรงแรม ส่วนกิจกรรม เค้ามีให้เลือกหลายอย่างค่ะ ไปดำน้ำ ไปดู plankton มีปาร์ตี้ ครบครันอยู่ค่ะ มาแล้วไม่ต้องกลัวเหงา 





สำหรับปอมานั่งชิวๆริมทะเลก็มีความสุขมากแล้ว ชาร์ตแบตให้ตัวเองค่ะ 
บายบาย สีหนุวิลล์ :)
สำหรับใครที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศจากการเที่ยวทะเลในประเทศ ลองเปิดใจให้สีหนุวิลล์ดูนะคะ โดยเฉพาะเกาะรงสันลม อยากบอกว่าฝรั่งแซ่บๆเยอะค่ะ สำหรับรีวิวนี้ขอตัวไปก่อนค่าาา :D 



#AirAsiaTravels #ไปสีหนุวิลล์ไปกับแอร์เอเชีย #เปิดโลกไม่ต้องไปไกลเที่ยวเพื่อนบ้านไงไม่ต้องรอ

จองตั๋วเครื่องบิน กับ Jetradar